วีระ ธีรภัทร นักจัดรายการวิทยุ นักเขียน คอลัมนิสต์ และพิธีกรชาวไทย มีชื่อจริงว่า วีระ ธีระภัทรานนท์ เกิดเมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2500 ที่จังหวัดพิจิตร
วีระจบการศึกษาชั้นมัธยม จากโรงเรียนลาซาลโชติรวีนครสวรรค์ และโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เมื่อปี พ.ศ. 2515 และสำเร็จปริญญารัฐศาสตรบัณฑิต (ทฤษฎีการเมือง และปรัชญาการเมือง) จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อปี พ.ศ. 2521
วีระเริ่มการทำงานโดยเป็น ผู้ช่วยบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ ของหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ในปี พ.ศ. 2522 จากนั้นย้ายไปอยู่ที่ฝ่ายข่าวต่างประเทศ หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ในปี พ.ศ. 2527 เนื่องจากมีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษเป็นพิเศษ จึงมีโอกาสติดตามคณะ ผู้บริหารประเทศและนักการเมือง ไปทำข่าวยังต่างประเทศ และมีความสนิทสนมกับหลายคน ในยุคที่พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี
จนกระทั่งเมื่อเดลินิวส์เปิดหน้าข่าวเศรษฐกิจขึ้น ก็ได้รับมอบหมายให้เป็นบรรณาธิการข่าวเศรษฐกิจคนแรก มีคอลัมน์ประจำชื่อ "ปากท้องชาวบ้าน" ในทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เขาศึกษาเรื่องเศรษฐกิจด้วยตนเอง และเข้ารับการอบรมหลักสูตรต่าง ๆ จนแตกฉาน เช่นหลักสูตรนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ของสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เมื่อปี พ.ศ. 2535 เป็นต้น จนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญทางตลาดหลักทรัพย์คนหนึ่ง มีผลงานหนังสือหลายเล่ม ทั้งที่เขียนเอง และแปลจากภาษาอังกฤษ ทั้งเคยดำรงตำแหน่งนายกสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ระหว่างปี พ.ศ. 2531 - 2532
ต่อมาราวปี พ.ศ. 2537 วีระลาออกจากเดลินิวส์ ไปดำรงตำแหน่งบรรณาธิการอำนวยการ หนังสือพิมพ์วัฏจักร และจัดรายการวิทยุเป็นครั้งแรก เมื่อต้นปี พ.ศ. 2538 ทางสถานีวิทยุเอฟเอ็ม 101.0 เมกะเฮิร์ตซ์ ในชื่อรายการ "คุยเฟื่องเรื่องเงิน" ทุกวันศุกร์ เวลา 09.00-11.00 น. จากนั้นเมื่อปี พ.ศ. 2541 หนังสือพิมพ์วัฏจักรปิดกิจการ วีระจึงออกมาจัดรายการ "คุยกันจันทร์ถึงศุกร์" ทางเอฟเอ็ม 97.0 เมกะเฮิร์ตซ์ "ตรีนิตีเรดิโอ" (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น แฟมิลีเรดิโอ) ในช่วงบ่ายวันทำงาน ซึ่งสามารถตอบปัญหาให้ผู้โทรศัพท์เข้ารายการได้ทุกเรื่อง ทั้งเศรษฐกิจ การเงิน การเมือง สังคม หรือเรื่องปกิณกะอื่น ๆ ด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่น คือโผงผางเสียงดัง ทั้งยังตำหนิผู้โทรศัพท์เข้ารายการบางรายด้วย โดยในช่วง พ.ศ. 2541 - 2543 กล่าวกันว่าเป็นรายการวิทยุ ที่มีผู้ฟังมากที่สุดในช่วงบ่าย และยังจัดรายการ "เงินทองต้องรู้" ทางวิทยุเนชั่น เอฟเอ็ม 90.5 เมกะเฮิร์ตซ์ เวลา 10.00-11.30 น. อีกรายการหนึ่ง
จากนั้นในราวปี พ.ศ. 2542 - 2544 วีระเริ่มเขียนคอลัมน์ "เงินทองต้องรู้" และ "ปากท้องของเรา" ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ และเขียนคอลัมน์ "หอมปากหอมคอ" ประจำในหนังสือพิมพ์คมชัดลึกด้วย นอกจากนั้น เขายังเคยเป็นวิทยากรในรายการ "บ้านเลขที่ 5" อยู่ช่วงหนึ่ง รวมถึงเคยเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์กับอุ้ม-สิริยากร พุกกะเวส ในช่วงสายวันเสาร์ เป็นวิทยากรคุยเรื่องเศรษฐกิจ ในรายการ "สยามเช้านี้" และ "สยามทูเดย์" ด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ออกอากาศทาง ททบ.5 ระยะต่อมา เข้าร่วมเป็นพิธีกรรายการ "ตาสว่าง" เริ่มตั้งแต่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2551
ระยะหลัง วีระลดความร้อนแรงในการจัดรายการลง โดยให้เหตุผลว่าเบื่อและอิ่มตัวแล้ว จึงเปลี่ยนชื่อรายการทางเอฟเอ็ม 97.0 เมกะเฮิร์ตซ์เป็น "คุยได้คุยดี" และเปลี่ยนรูปแบบไปเป็น การเล่าเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม และการท่องเที่ยวมากขึ้น ซึ่งต่อมารายการยุติลง ตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตรายการ หมดสัญญาเช่าคลื่นกับสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จากนั้นเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2551 ร่วมจัดรายการ "ข่าวเป็นข่าว" เพิ่มขึ้นทางเอฟเอ็ม 105 เมกะเฮิร์ทซ์ "วิสดอมเรดิโอ" กับหลานชายคือ ณัฐพงษ์ ธีระภัทรานนท์ ในเวลา 08.00-09.00 น. ต่อมารายการยุติลงเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 เนื่องจากณัฐพงษ์เปลี่ยนไปทำงานผู้ประกาศและพิธีกรข่าวทางโทรทัศน์
ตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2551 วีระเป็นวิทยากรเศรษฐกิจในรายการตลาดเช้าข่าวสด ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี ในทุกวันอังคารและวันพฤหัสบดีเวลา 06.00-07.30 น. ต่อมายุติการร่วมรายการ และตัวรายการเปลี่ยนชื่อไปแล้ว, วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ไปร่วมจัดรายการ เช้านี้...ที่หมอชิต ทางช่อง 7 ออกอากาศทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 06.00-07.30 น. ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2552 โดยเขาร่วมรายการในช่วงข่าวเศรษฐกิจ เฉพาะวันจันทร์-พุธ-ศุกร์ เวลา 06.50-07.00 น. ต่อมายุติการร่วมรายการ ในวันที่ 30 ตุลาคม ปีเดียวกัน โดยให้เหตุผลว่า งานมากเกินไปจนทำไม่ไหว จากนั้นเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 เป็นพิธีกรสนทนารายการ "คุยนอกทำเนียบ" ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ออกอากาศทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 20.30-21.00 น. ปัจจุบันยุติรายการแล้ว
เริ่มจัดรายการคุยได้คุยดี Talk News & Music ทางสถานีวิทยุ อสมท โมเดิร์นเรดิโอ คลื่นความคิด เอฟเอ็ม 96.5 เมกะเฮิร์ตซ์ ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 14.00-16.00 น. ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551 โดยหลังจากนั้นสามวัน ทางรายการสัมภาษณ์พิเศษ นายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช เกี่ยวกับการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในวันที่ 4 กันยายน นอกจากนี้ เนื่องในวาระครบรอบ 1 ปีของรายการนี้ จึงมีการจัดทำคอมแพ็กต์ดิสก์ บันทึกเสียงที่เขาเล่าประวัติการทำงานของตนเอง เพื่อแจกให้ผู้ฟังรายการ โดยให้เหตุผลว่า ประวัติของตนที่ปรากฏตามสื่อต่าง ๆ มีความคลาดเคลื่อนในหลายส่วน
วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2551 วีระเริ่มเขียนคอลัมน์ "สีซอให้ควายฟัง" ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็น "เล่าเท่าที่รู้" โดยให้เหตุผลว่า คนอ่านอาจเข้าใจผิด คิดว่าผู้เขียนว่าคนอ่านเป็นควาย ต่อมาเขาเขียนในคอลัมน์ว่า จะยุติการเขียนคอลัมน์นี้ ในวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2552 เป็นวันสุดท้าย เนื่องจากงานรัดตัว และช่วงนี้ไม่มีประเด็นน่าสนใจที่จะเขียนถึง
วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในฐานะบังคับบัญชาสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสนอรายชื่อบุคคลเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน จำนวน 9 คน และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานด้านนิติบัญญัติพิจารณา ก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาตามลำดับเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป โดยนายวีระเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อด้วย
วันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 สภาผู้แทนราษฎรมีมติให้แต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ทั้ง 9 คน เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติอีกชั้นหนึ่ง
หลังเหตุการณ์วันที่ 19 พฤษภาคม 2553 นายวีระกล่าวทางรายการวิทยุที่ตนจัดหลายรายการว่าจะทยอยเลิกงานที่ทำอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากรู้สึกว่าสถานการณ์ สภาพแวดล้อม และความรู้สึกของตนเอง ไม่เหมาะสมที่จะจัดรายการแบบนี้อีกต่อไป อย่างไรก็ตามในเดือนตุลาคมนายวีระกล่าวว่าจะไม่เลิกจัดรายการคุยได้คุยดีแต่จะหยุดพักสองเดือนหรือหยุดตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนและกลับมาจัดใหม่ในเดือนมกราคมปี 2554
วันที่ 29 กันยายน 2553 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณารายงานการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบคุณสมบัติผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน จำนวน 9 คน ตามที่ ครม.เสนอมาและคณะกรรมาธิการวิสามัญได้พิจารณาเสร็จแล้ว โดยที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติให้ความเห็นชอบผู้ได้รับการเสนอชื่อ จำนวน 9 คน ด้วยวิธีลงคะแนนลับผ่านซองลงคะแนน ด้วยคะแนนเสียงข้างมาก โดย รศ.ดร.ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ ได้ 245 คะแนนต่อ 88 งดออกเสียง 5 นายถาวร พานิชพันธ์ ได้ 242 ต่อ 88 งดออกเสียง 6 นายตีรณ พงศ์มฆพัฒน์ ได้ 237 ต่อ 90 งดออกเสียง 6 นายบัญชา เสือวรรณศรี ได้ 342 ต่อ 5 งดออกเสียง 4 นายวีระ ธีระภัทรานนท์ ได้ 200 ต่อ 126 งดออกเสียง 12 พล.ต.อ.สมชาย ประภัสภักดี ได้ 339 ต่อ 8 งดออกเสียง 5 รศ.จุราพร ไวยนันท์ได้ 342 ต่อ 5 งดออกเสียง 4 นายวินัย ดำรงค์มงคลกุล ได้ 344 ต่อ 5 งดออกเสียง 4 และ นายมนัส สุขสวัสดิ์ได้ 354 ต่อ 5 งดออกเสียง 4 และขั้นตอนต่อจากนี้จะเสนอให้วุฒิสภาเห็นชอบต่อไป
วันที่ 11 ตุลาคม 2553 วุฒิสภาให้ความเห็นชอบบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน จำนวน 9 คน ตามที่ ครม.เสนอ